ทุกวันนี้ การเก็บรักษา private key ถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งในโลกคริปโต เพราะความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวในการกดเซ็นธุรกรรม อาจทำให้สินทรัพย์สูญหายมหาศาล ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วจากกรณี Radiant Capital ที่ถูกแฮกไปกว่า 50 ล้านดอลลาร์ และ Bybit exchange ที่เสียหายถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดว่า หากผู้ใช้งานมีเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบรายละเอียดธุรกรรมก่อนเซ็นจริง ความเสียหายเหล่านี้อาจไม่เกิดขึ้น
นักวิจัยด้านความปลอดภัย ที่ทำงานใกล้ชิดกับ EVM ecosystem, blockchain councils, multisigs และ DAOs สิ่งที่ให้ความสำคัญสูงสุดคือ “ทุกข้อมูลที่เซ็น ต้องตรวจสอบและเข้าใจได้อย่างชัดเจน” ไม่ใช่เพียงกดอนุมัติไปโดยไม่รู้ว่าธุรกรรมนั้นกำลังทำอะไร เพราะปัญหาที่พบในปัจจุบันคือผู้ใช้จำนวนมากยังคง “เซ็นธุรกรรมแบบตาบอด” โดยไม่ทันได้ยืนยันข้อมูลที่แท้จริง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำการทดสอบ 9 Hardware Wallets (Cold Wallets) ที่ได้รับความนิยมในตลาด เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า:
- กระเป๋าแบบใดเหมาะสำหรับ นักวิจัยและผู้ใช้สายเทคนิค ที่ต้องการตรวจสอบ calldata และรายละเอียดเชิงลึกทุกครั้งก่อนกดเซ็น
- และกระเป๋าแบบใดเหมาะกับ ผู้ใช้งานทั่วไป ที่อาจไม่มีพื้นฐานเชิงเทคนิคมากนัก แต่ยังคงต้องการความปลอดภัยในการเก็บสินทรัพย์
ก่อนเข้าสู่รีวิวเชิงลึก ได้มีการกำหนดเกณฑ์การทดสอบอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น การแสดงผลธุรกรรม (visibility of calldata), ความเป็น open source และ reproducible ของซอฟต์แวร์, ไปจนถึง ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยของ hardwareเพราะหาก wallet ไม่สามารถทำหน้าที่หลักในการปกป้อง private key ได้ ก็ถือว่าไม่ผ่านตั้งแต่แรก
และนี่คือผลลัพธ์จากการทดสอบจริง พร้อมมุมมองตรงไปตรงมาจากนักวิจัยด้านความปลอดภัย ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานตัดสินใจเลือกกระเป๋าที่เหมาะกับความต้องการของตนเองได้มากที่สุด
เกณฑ์การรีวิว (Criteria)

เป้าหมายสูงสุดของการใช้ Hardware Wallet คือการปกป้อง private key ของผู้ใช้ให้ปลอดภัยที่สุด หากทำหน้าที่นี้ไม่ได้ก็ถือว่าล้มเหลวตั้งแต่แรก แต่ในการใช้งานจริง ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องนำมาพิจารณา โดยนักวิจัยด้านความปลอดภัยได้กำหนดเกณฑ์ไว้ดังนี้
- การแสดงผลธุรกรรม (Visibility of Transaction Calldata)
- Wallet ต้องแสดงข้อมูลที่กำลังจะเซ็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นข้อความ (message signing) หรือธุรกรรม (transaction)
- หากไม่สามารถแสดงได้ → ถือว่าตกรอบทันที เพราะเสี่ยงต่อการเซ็นธุรกรรมที่ไม่ต้องการ
- ความเป็น Open Source และ Reproducible
- Wallet ที่เปิดซอร์สโค้ดให้ตรวจสอบได้ และสามารถ reproducible ได้จริง จะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดความเสี่ยงจาก backdoor
- ในการทดสอบนี้ยังอ้างอิงข้อมูลจากทีม Wallet Scrutiny ที่ตรวจสอบความโปร่งใสของ wallet หลายเจ้า
- ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย (Security Features)
- การมี secure element ที่ได้มาตรฐาน (เช่น EAL6+)
- offline key generation และการสำรองข้อมูล (backup) ที่เชื่อถือได้
- ประสบการณ์ใช้งาน (User Experience / UX)
- อินเทอร์เฟซต้องไม่ซับซ้อนจนผู้ใช้เกิดความเหนื่อยล้า (security fatigue)
- ข้อมูลต้องอ่านง่าย ตรวจสอบสะดวก เพราะถ้า UI ทำให้ผู้ใช้ล้า → มีโอกาสกดอนุมัติธุรกรรมผิดพลาด
- ความเหมาะสมในการใช้งานจริง (Practicality)
- ใช้ได้ทั้งกับ DeFi, multisig, DAO และผู้ใช้งานทั่วไป
- มีการรองรับ testnet สำหรับนักพัฒนา
วิธีการทดสอบ (Methodology)

เพื่อความเป็นธรรมและมาตรฐานในการรีวิว นักวิจัยได้ทำการทดสอบ wallet แต่ละตัวภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน โดยใช้ขั้นตอนดังนี้
- เชื่อมต่อกระเป๋าเข้ากับ Safe Wallet UI ผ่าน MetaMask (เมื่อเป็นไปได้)
- ทำการทดสอบ 2 รูปแบบหลัก:
- การเซ็นข้อความ (Sign an EIP-712 Message) → เพื่อดูว่า wallet แสดงข้อมูล signature ได้ชัดเจนเพียงใด
- การเซ็นธุรกรรม (Execute a Transaction) → เพื่อดูว่ามีการแสดง calldata ครบถ้วนหรือไม่
- สำรวจการตั้งค่า (settings) และการรองรับ เช่น testnet, การส่ง-รับ ETH, การ backup ฯลฯ
- ประเมินจากประสบการณ์ตรงว่าข้อมูลที่ wallet แสดงออกมาสามารถใช้ตรวจสอบธุรกรรมได้จริงหรือไม่
นักวิจัยยังย้ำด้วยว่า การรีวิวครั้งนี้จะตรงไปตรงมา (blunt) และพร้อมเปิดรับคำทักท้วงจากบริษัทผู้ผลิต wallet เพราะเป้าหมายไม่ใช่การวิจารณ์อย่างเดียว แต่เพื่อให้ผู้ผลิตนำไปพัฒนาและแก้ไขจุดบกพร่องในอนาคต
1. Tangem – 1/10
Tangem มาในรูปแบบบัตรเครดิต ดูสะดวกและพกง่ายที่สุดในลิสต์ ใช้ระบบ tap-to-phone แตะบัตรกับมือถือแล้วจบ จึงเหมาะกับคนที่อยากได้โซลูชันเก็บเหรียญเล็ก ๆ ไว้ใช้จ่ายเร็ว ๆ แต่พอเป็นงานจริงจังปัญหาเริ่มชัด

- ประสบการณ์ใช้งาน: ต่อกับมือถือได้ง่ายมาก ไม่ต้องมีสายหรือซอฟต์แวร์ซับซ้อน
- จุดแข็ง: portability สูง ใช้ง่ายกับการจ่ายยิบย่อย
- จุดอ่อน: closed source → ไม่โปร่งใส, ไม่รองรับ testnet, ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่แสดง transaction calldata เลย ทำให้การเซ็นธุรกรรมเป็นการกดแบบ “ตาบอด” ไม่รู้ว่ากำลังอนุมัติอะไรอยู่
- มุมมองนักวิจัย: ไม่เหมาะสำหรับใครก็ตามที่ทำ DeFi หรือถือมูลค่าเยอะ เพราะความเสี่ยงสูงมาก
2. Cypherock – 3/10
กระเป๋านี้พยายามสร้างความแตกต่างด้วยระบบ การ์ดแตะ (card-tapping) และเป็น open source ที่ reproducible จริง มี secure element ระดับสูง (EAL6+) ถือว่าเป็นจุดแข็ง

- ประสบการณ์ใช้งาน: ระบบ navigation ใช้ joystick ซึ่งใช้งานยาก ทำให้คนใช้รู้สึกเหนื่อย (security fatigue) เวลาเซ็นธุรกรรม
- จุดแข็ง: open source โปร่งใส มี secure element แข็งแรง
- จุดอ่อน: UI ใช้งานไม่เป็นมิตร, ไม่แสดง calldata เวลาทำธุรกรรม → เท่ากับเสียคุณสมบัติหลักที่นักวิจัยต้องการ
- มุมมองนักวิจัย: ถึงจะปลอดภัยด้าน hardware แต่ถ้าไม่เห็นรายละเอียดธุรกรรมก็ไร้ค่า ไม่ผ่านเกณฑ์
3. Keystone 3 Pro – 4/10
เป็น wallet ที่ตอนแรกทำให้คาดหวังมาก เพราะมี touchscreen และใช้การเชื่อมต่อผ่าน QR code กับ MetaMask ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องสาย USB หรือ Bluetooth

- ประสบการณ์ใช้งาน: ตอนใช้งานครั้งแรกถือว่าสะดวก แสดง EIP-712 signature data ได้ แต่ปัญหาคือ การ decode calldata ไม่เสถียร บางครั้งแสดงไม่ครบ หรือผิดเพี้ยน
- จุดแข็ง: open source, จอสัมผัสใช้ง่าย, รองรับการเชื่อมกับ MetaMask อย่างชาญฉลาด
- จุดอ่อน: ความไม่เสถียรในการแสดงผลข้อมูลธุรกรรม และไม่มี raw calldata fallback → นักวิจัยไม่สามารถยืนยันข้อมูลจริงได้
- มุมมองนักวิจัย: ดีกว่ากระเป๋าในระดับ entry แต่ยัง “ไม่ปลอดภัยพอ” สำหรับคนที่ต้อง verify ข้อมูลทุกบรรทัด
4. Trezor Model T – 5/10
ถือว่าเป็น baseline ของตลาด เพราะมีความโปร่งใสแบบ open source และได้รับการตรวจสอบโดย Wallet Scrutiny

- ประสบการณ์ใช้งาน: สามารถแสดง calldata ได้ครบ แต่ปัญหาคือ จอเล็ก แสดงได้ทีละนิด ทำให้เวลาเช็กข้อมูลเยอะ ๆ รู้สึกเหนื่อยและเสี่ยงหลุดรายละเอียด
- จุดแข็ง: open source, แสดงข้อมูลครบ, รองรับ testnet
- จุดอ่อน: ไม่มี secure element ทำให้ไม่แข็งแรงพอในระยะยาว, raw calldata format อ่านยาก
- มุมมองนักวิจัย: ใช้ได้ในฐานะกระเป๋ามาตรฐาน แต่เมื่อมีรุ่นใหม่กว่าอย่าง Trezor Safe 5 จึงไม่คุ้มที่จะเลือก
5. Trezor Safe 5 – 7/10
เป็นการอัปเกรดจาก Model T ที่ตอบโจทย์นักวิจัยมากขึ้น

- ประสบการณ์ใช้งาน: จอใหญ่ขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น มี secure element และยังคงเป็น open source
- จุดแข็ง: มี secure element (EAL6+), แสดงข้อมูลครบทุกธุรกรรม, โค้ด reproducible ได้จริง
- จุดอ่อน: UI ยังไม่ intuitive เวลาจะตรวจสอบข้อมูล ต้องอาศัยความรู้เชิงเทคนิคสูง, ไม่มี decode ของ calldata ต้องอ่าน raw data เอง
- มุมมองนักวิจัย: เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในกลุ่ม open source แต่เหมาะกับ technical users ที่พร้อมอ่านข้อมูลแบบดิบเอง
6. Ledger Nano X – 6/10
กระเป๋าที่มีชื่อเสียงและถูกใช้มานาน แต่ในมุมมอง security researcher กลับมีหลายข้อจำกัด

- ประสบการณ์ใช้งาน: ข้อดีคือสามารถแสดง domain hash และ message hash ได้ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการตรวจสอบ signature
- จุดแข็ง: track record ยาวนานในด้าน hardware, แสดง hash ได้จริง
- จุดอ่อน: closed source, อินเทอร์เฟซปุ่มเล็กสองปุ่มทำงานลำบาก, คำว่า “blind signing” ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสับสน, การแสดง calldata ใช้ proprietary format ที่ยากต่อการอ่าน
- มุมมองนักวิจัย: เมื่อ Ledger Flex มีอยู่แล้ว Nano X ถือว่าล้าสมัยไปมาก
7. Ledger Flex – 7/10
เหมือนเป็นการ “แก้ตัว” ของ Ledger หลัง Nano X

- ประสบการณ์ใช้งาน: ปุ่มใช้งานสะดวกขึ้น จออ่านง่ายขึ้น อยู่ได้นานกว่า Nano X
- จุดแข็ง: แสดง domain hash และ message hash ได้ดีมาก, usability สูงกว่า Nano X
- จุดอ่อน: closed source เช่นเดิม, การแสดง calldata ยังแย่เพราะใช้รูปแบบเดียวกับ Nano X
- มุมมองนักวิจัย: ถ้าโอเคกับ closed source ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุด โดยเฉพาะด้าน signature verification
8. Onekey Pro – 7/10
เป็น wallet จีนที่มี hardware ดีมาก แต่มีข้อกังขาเรื่อง open source

- ประสบการณ์ใช้งาน: มี secure element ระดับสูง (EAL6+), ระบบ Air gap mode และ haptic feedback ที่ใช้งานแล้วรู้สึกมั่นใจ
- จุดแข็ง: แสดงข้อมูลธุรกรรมครบ, ฮาร์ดแวร์แข็งแรง ใช้ง่าย
- จุดอ่อน: โค้ดไม่ reproducible จริง จึงยังไม่ถือว่าเป็น open source, ไม่แสดง domain/message hash, calldata ไม่ถูก decode
- มุมมองนักวิจัย: ถ้าโปร่งใสกว่านี้จะกลายเป็นกระเป๋าที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ในปัจจุบันยังคงเป็นแค่ “ดีแต่ยังไม่สุด”
9. Grid Lattice Plus – 8/10
ได้คะแนนสูงสุดในการรีวิวครั้งนี้

- ประสบการณ์ใช้งาน: จอใหญ่ที่สุดในตลาด อ่านข้อมูลง่าย และ decode calldata ได้ดีมาก แม้ธุรกรรมซับซ้อนแบบ nested
- จุดแข็ง: UI ยอดเยี่ยม, secure element มาตรฐานสูง, การแสดงผลข้อมูลชัดเจนที่สุด
- จุดอ่อน: closed source, ตัวเครื่องเทอะทะ, ไม่มี raw calldata view สำหรับสาย technical
- มุมมองนักวิจัย: ดีที่สุดสำหรับ non-technical users เพราะ decode ข้อมูลให้อ่านง่าย แต่ technical users อาจติดที่อยากเห็น raw data ด้วย
สรุป
ไม่มี wallet ไหนที่ perfect ทุกด้าน แต่ละตัวมี trade-off ระหว่าง open source, usability, ความปลอดภัย และการแสดงผลข้อมูล
- ถ้าต้องการ open source: Trezor Safe 5 สมดุลสุด แต่ยังต้องตรวจสอบ calldata เอง
- ถ้าโอเคกับ closed source:
- Grid Lattice Plus เด่นเรื่อง calldata decoding
- Ledger Flex ดีเรื่อง signature verification
- Onekey Pro ใช้งานสะดวกและปลอดภัยโดยรวม
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เข้าใจสิ่งที่กำลังเซ็นธุรกรรมอยู่ เพราะถ้าไม่รู้ว่ากดอนุมัติอะไรไป ต่อให้กระเป๋าแข็งแรงแค่ไหน ก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้
ที่มา: patrickalphac