ลองจินตนาการดูว่า หากวันนี้มีคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ทรงพลัง สามารถเจาะระบบของ Bitcoin ได้จริง มันอาจกำลังขโมยเหรียญอยู่ โดยที่เครือข่ายยังคงทำงานเหมือนปกติอยู่ก็ได้

David Carvalho ซีอีโอของ Naoris Protocol บริษัทที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานป้องกันภัยจากควอนตัม กล่าวว่า

“หากมีคอมพิวเตอร์ควอนตัมอยู่ คุณจะไม่รู้เลย เพราะตอนที่คุณเริ่มสงสัยว่ามี มันอาจควบคุมระบบไปแล้วเป็นเดือน ๆ แล้วก็ได้”

พูดง่าย ๆ คือ ถ้ามันเกิดขึ้นจริง จะไม่มีใครรู้ตัวเลย เพราะทุกอย่างดูเหมือนการเข้าถึงตามปกติ

ในขณะที่บริษัทใหญ่อย่าง IBM, Google รวมถึงห้องแล็บของรัฐบาลหลายแห่ง ก็กำลังแข่งกันปิดช่องว่างนี้ โดยสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐ (NIST) ก็เริ่มอนุมัติ อัลกอริทึมเข้ารหัสหลังยุคควอนตัมแล้ว

แต่ในทางกลับกัน ระบบบล็อกเชนส่วนใหญ่ในตอนนี้ ยังใช้เทคโนโลยีเข้ารหัสที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่ยุคปี 1980

แม้มันยังเป็นแค่ภัยคุกคามในทางทฤษฎี แต่ David Carvalho เตือนว่า ถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นจริง กลไกป้องกันของ Bitcoin จะพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เครือข่ายจะสามารถตอบสนองได้ทัน

มาตรฐานการเข้ารหัสหลังควอนตัมสามมาตรฐานแรกที่เสร็จสมบูรณ์ ที่มา: NIST

หัวใจของระบบความปลอดภัย Bitcoin คือ อัลกอริทึมเข้ารหัสที่ชื่อ Elliptic Curve Digital Signature Algorithm (ECDSA) โดยถูกเสนอครั้งแรก ตั้งแต่ปี 1985
ที่ช่วยให้เจ้าของสามารถพิสูจน์การเป็นเจ้าของ ด้วย “private key” ขณะที่เครือข่ายจะเห็นแค่ “public key” เท่านั้น

แต่ด้วย Shor’s algorithm คอมพิวเตอร์ควอนตัมที่แรงพอ จนสามารถคำนวณย้อนกลับจาก public key เพื่อหาค่า private key ได้โดยตรง  

Kapil Dhiman ซีอีโอของ Quranium ( บล็อกเชน layer-1 ที่ออกแบบมา เพื่อให้ป้องกันควอนตัมได้ตั้งแต่ต้น) กล่าวเสริมว่า

“กระเป๋าที่โดนก่อนใครจะเป็นกระเป๋าเก่า ๆ เหรียญของ Satoshi นี่แหละคือเป้านิ่ง ถ้าเหรียญพวกนั้นขยับเมื่อไหร่ ความเชื่อมั่นใน Bitcoin จะพังทันที ก่อนที่ระบบจะพังจริง ๆ ซะอีก”

ในสถานการณ์แบบนั้น บล็อกเชนยังจะทำงานต่อได้ตามปกติ  บล็อกยังถูกขุด, ธุรกรรมยังถูกบันทึก แต่เจ้าของเหรียญจะ “ถูกเคลมความเป็นเจ้าของแบบเงียบ ๆ” โดยไม่มีใครรู้

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันถึงแม้ GPU จะมีพลังมากขึ้น และอัลกอริทึมการแฮกพัฒนาไปเรื่อย ๆ แต่ระบบ ECDSA ของ Bitcoin ที่ใช้กุญแจ 256 บิต ก็ยังถือว่า “แข็งแกร่งเกินเอื้อม” สำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป

ขณะที่ธนาคาร, เครือข่ายโทรคมนาคม และหน่วยงานรัฐเริ่มทดลองระบบเข้ารหัสหลังยุคควอนตัมแล้ว แต่บล็อกเชนส่วนใหญ่กลับยังใช้เทคโนโลยีเข้ารหัสตั้งแต่ยุค 80  

Kapil Dhiman กล่าวว่า “ทุกบล็อกเชนรู้ว่ามีช่องโหว่นี้อยู่ในรากฐาน แต่การจะเปลี่ยนระบบเข้ารหัสให้ต้านควอนตัมได้นั้น มันต้องอัปเกรดครั้งใหญ่ทั้งเครือข่าย ซึ่งต้องให้ทั้งนักขุด, นักพัฒนา และผู้ใช้ทั่วโลกเห็นพ้องกัน”

ซึ่งมีข้อเสนอเบื้องต้นออกมาบ้าง เช่น Bitcoin Improvement Proposal 360 (BIP-360) ที่พูดถึงแนวทางเปลี่ยนระบบเข้ารหัส และแผน “Post Quantum Migration and Legacy Signatures Sunset” ที่เสนอให้ทยอยยกเลิกลายเซ็นแบบเก่า

ในฝั่ง Ethereum เอง ก็เคยทดลองระบบลายเซ็นแบบ lattice-based ซึ่งทนต่อควอนตัมได้มากกว่า แต่ยังไม่มีการใช้งานจริง

Carvalho บอกตรง ๆ ว่า “ฝั่ง TradFi เดินหน้าไปก่อน เพราะพวกเขามีงบ มีอำนาจตัดสินใจ และมีศูนย์กลางควบคุม แต่ในโลกคริปโต ทุกอย่างต้องอาศัย ‘ฉันทามติ’ ซึ่งทำให้การอัปเกรดช้ากว่ามาก”

ตอนนี้มีโปรเจกต์บล็อกเชนรุ่นใหม่ก็ถูกออกแบบมาให้พร้อมรับมือควอนตัม ตั้งแต่แรก เช่น 

โปรเจกต์ Naoris Protocol ของ Carvalho ที่ยื่นข้อเสนอต่อ SEC เรื่องมาตรฐานหลังยุคควอนตัม, โปรเจกต์ Quranium ของ Dhiman ที่ใช้ลายเซ็นแบบ Stateless Hash-Based ซึ่ง NIST อนุมัติเรียบร้อยแล้ว หรือแม้แต่โปรเจกต์ Quantum Resistant Ledger (QRL) ที่ใช้ระบบ XMSS ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ NIST เช่นกัน

สำหรับผู้ถือ Bitcoin ทั่วไป สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การแฮกโดยตรง แต่คือ “ความเชื่อมั่นที่พังทลายลง” ซึ่งอาจทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลงอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงตลาดการเงิน

David Carvalho กล่าวว่า “โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่ศูนย์ แต่นักวิจัยและหน่วยงานความมั่นคงเชื่อว่า มันยังไม่ถึงจุดนั้น”

เรื่องนี้ไม่ต่างจากตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อรหัส Enigma ของนาซีเยอรมันเคยถูกมองว่า “ไม่มีวันถูกถอดได้” แต่ Alan Turing และทีม Bletchley Park กลับแอบถอดรหัสมันสำเร็จ และปิดเป็นความลับอยู่นาน เพื่อให้เยอรมันยังใช้รหัสเดิมต่อไป

ปริศนาถูกไขแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ ที่มา: สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ

ถึงอย่างนั้น ผู้เชี่ยวชาญยังมองในแง่ดีว่า ระบบบล็อกเชนที่ปลอดภัยต่อควอนตัมสามารถสร้างได้จริง

Kapil Dhiman  กล่าวทิ้งท้ายว่า “ระบบที่ปลอดภัยจากควอนตัม สามารถสร้างได้แน่นอน  แค่ต้องเริ่มสร้างมันก่อนที่ภัยจะมาถึงจริง ๆ เท่านั้น”

สำหรับตอนนี้ ภัยคุกคามควอนตัมยังคงเป็นเพียงแนวคิดเชิงทฤษฎี เท่านั้น Bitcoin ยังคงปลอดภัยดี และคอมพิวเตอร์ที่จะสามารถเจาะระบบได้จริง ยังคงมีอยู่แค่บน ‘กระดาษ’

ที่มา : cointelegraph

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *